ข่าวดังข่าวหนึ่งในช่วงนี้ นอกจากมหากรรมกีฬาโอลิมปิคแล้ว ยังมีการเมืองเรื่องเก่าเรื่องเดิมที่พูดถึงกันมานาน นั่นก็คือกรณีที่นาย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ถูกกล่าวหาว่าหนีทหาร ตอนนี้ก็มีการเปิดเผยหลักฐานเพิ่มเติมจากทางกระทรวงกลาโหมออกมา แต่จะไม่ขอเล่าละเอียดแล้วกัน ติดตามอ่านได้ที่ข่าวต้นทาง http://news.voicetv.co.th/thailand/45842.html
รูปท่านผู้นำฝ่ายค้านจากเว็บต้นทางข่าว
เรื่องที่จะพูดถึงก็เกี่ยวกับข้อมูลจากข่าวต้นทางนั่นแหละ ในข่าวมีการระบุว่าหัวหน้าฝ่ายค้านคนปัจจุบันของเราได้สมัครเข้าเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยฯ แต่กลับมีวันทำงานเพียง 35 วัน และใช้สิทธิ์ลาไปต่างประเทศถึงสามครั้ง คิดเป็น 221 วัน !!
หลายคนตั้งคำถามว่า “แล้วจะมาสมัครเป็นอาจารย์ทำไม?”
บล็อกนี้ไม่ได้จะมาตำหนิติเตียนผู้นำฝ่ายค้านของเราแต่อย่างใด เพียงแต่จะมาแสดงความเห็นอกเห็นใจ และคาดเดาไปต่างๆ นานา
อันเป็นที่รู้ และเข้าใจตรงกันมานานแล้วว่าลูกผู้ชายไทยที่ศึกษาสายสามัญ หรือที่พูดกันตรงๆ ว่าคนที่มีฐานะปานกลาง คนเมือง อะไรอย่างนั้น ส่วนใหญ่เลือกที่จะเรียน ร.ด หรือที่ย่อมาจากคำว่า “รักษาดินแดน” มันเป็นคำเรียกติดปากมาจากสมัยเก่า จริงๆ แล้วสมัยนี้ต้องเรียกว่า “นักศึกษาวิชาทหาร” มีตัวย่อว่า นศท.
ถามว่าทำไมชายไทยคนเมืองส่วนใหญ่ถึงเลือกที่จะเรียน ร.ด. ? น้อยคนนักที่จะตอบว่าเพราะรักที่จะเป็นทหาร ส่วนใหญ่คงตอบว่าเพราะไม่ต้องการที่จะไปเกณฑ์ทหารอย่างแน่นอน เพราะการเรียน ร.ด. ต้องตัดผมทรงเกรียนๆ ต้องเสียเวลา ต้องลำบากโน่นนี่นั่นอีกมากมาย แต่ก็ยังไม่หนักเท่าการเกณฑ์ทหาร
เอาเป็นว่าถ้าถามกันตรงๆ ไม่มีใครอยากไปเป็นทหารเกณฑ์หรอก
ผู้นำฝ่ายค้านเราก็ไม่ได้เป็นเทวดามาจากไหน ก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเราๆ นี่แหละ พ่อแม่ของท่านก็คงไม่อยากให้ลูกไปตกระกำลำบากถูกเกณฑ์ทหาร แต่ท่านดันไปศึกษาที่ต่างประเทศ เลยอดที่จะมาเรียน ร.ด. เหมือนเด็ก ม.ปลายคนอื่นๆ ได้เรียน
ทางแก้ไขคือก็คือ พอเรียนจบแล้ว ก็มาสมัครงานเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อยฯ ซะ เพราะเป็นถึงอาจารย์สอนนายร้อย มียศ มีตำแหน่งทางทหาร ไม่ถูกลดขั้นลงไปเป็นพลทหารแน่ๆ กระบวนการตรงนี้จะด้วยความเต็มใจ พ่อแม่บังคับ เส้นใหญ่ หรืออะไรเราก็คงไม่ต้องไปสนใจ เพราะไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึงในบล็อกนี้
ประเด็นของเราคือมันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด หรือน่าสมควรถูกสังคมรุมประนามแต่อย่างใด ที่ท่านทำไปก็มีเหตุผลเหมือนๆ กับที่เราเลือกที่จะเรียน ร.ด. นั่นแหละ คือไม่อยากถูกเกณฑ์ทหาร เพราะมันลำบาก
ถ้าถามกันตรงๆ ก็คงต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีที่ควรเท่าไหร่ กับการหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม มันจะเหมือนว่าเราไม่รักชาติรักบ้านเมืองตามแต่คนจะมอง แต่หลักจริงๆ แล้วคือประชาชนทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะทำเพื่อประเทศชาติทางไหน
ตรงนี้ทางกองทัพเปิดช่อง เปิดโอกาสไว้ให้ คนที่มีความรู้ความสามารถ สามารถรับใช้ชาติได้ จะเห็นว่ามีอาชีพอย่างอาจารย์ หรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ที่ได้รับการยกเว้นที่จะถูกเกณฑ์ทหาร ทุกคนสามารถรับใช้ชาติได้ตามความถนัด ความสามารถของตนเอง
ร่ายซะยืดยาวเดี๋ยวจะจบไม่ลง เอาเป็นว่าจริงๆ ผมไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องเลวร้ายถึงขั้นผิดจริยธรรมอะไรเท่าไหร่หรอก อาจเป็นเพราะตัวผมเองก็เลี่ยงการเกณฑ์ทหายด้วยการเรียน ร.ด. มาเหมือนกัน แต่การเรียน ร.ด. อาจเป็นวิธีที่ชาวบ้านทั่วไปยอมรับได้มากกว่า ส่วนเรื่องการไปเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยฯ ด้วยหลักฐานเท็จอะไรตามข่าว อันนี้ก็ต้องว่ากันไปตามการพิสูจน์ ไม่ขอออกความเห็นใดๆ แล้วกันครับ
Comments