เคยมีคนบอกเอาไว้ว่า "เพื่อนสนิท ไม่ว่าจะไม่เจอกันนานแค่ไหน เมื่อกลับมาเจอกันใหม่ก็ยังรู้สึกสนิทกันเหมือนเดิม" ผมว่ามันไม่จริงเสมอไป
อาจจะต้องเริ่มอธิบายกันก่อนว่าทำไมเราถึงรู้สึกสนิทกับใครบางคน การที่เราจะสนิทกับใครสักคนเราต้องกิจกรรมทางสังคมหลายๆ อย่างด้วยกันบ่อยๆ มีกิจกรรมร่วมกัน เช่น ไปกินข้าวด้วยกันประจำ ไปเที่ยวด้วยกันประจำ คุยกันเป็นประจำ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เป็นต้น การที่เราจะทำกิจกรรมแบบนี้กับใครสักคนได้เป็นประจำ เชื่อเถอะว่าคุณกับเขา ต้องมีความคิดเห็น นิสัย ความชอบอะไรเหมือนๆ กัน เอาจริงๆ คือแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนชอบกินอะไรคนละอย่างแต่ดันไปกินข้าวด้วยกันเป็นประจำ หรือคนที่ชอบคุยกันคนละเรื่องแต่ก็ดันคุยกันด้วยกันทุกวัน คนที่ชอบเที่ยวกันคนละสไตล์แต่ก็ดันไปเที่ยวด้วยกันเป็นประจำอีก อาจจะมีข้อยกเว้นนะ แต่ผมว่าโอกาสเป็นไปได้น้อยมากๆ
ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่ต้องยอมรับกันก็คือ นิสัย ความชอบ ทัศนคติของคนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ในขณะที่เพื่อนสนิทต่างต้องแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตนเอง ต่างคนต่างต้องเผชิญกับชีวิตรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ประสบการณ์ต่างๆ ที่ต่างคนต่างพบเจอนี่แหละ ที่จะทำให้นิสัย ความชอบ และทัศนคติเปลี่ยนแปลง เราไม่มีทางรู้เลยว่าเพื่อนสนิทของเราที่ไม่ได้พบเจอกันมาแรมปีพบเจออะไรมาบ้างตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้พบเจอกัน เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่านิสัยของเพื่อนเรายังคงเหมือนเดิม เพื่อนยังชอบสิ่งเดิมๆ เหมือนเราอยู่ไหม ทัศนคติของเรากับเพื่อนยังตรงกันอยู่ไหม
ทุกครั้งที่ผมได้เจอเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอ ไม่ได้พูดคุยกันมานาน บอกเลยว่าผมไม่สนิทใจที่จะพูดคุยกับเขาเหมือนแต่ก่อน สิ่งที่ผมทำคือคุยกันแบบระมัดระวัง เพราะเราไม่รู้ว่าเพื่อนยังเหมือนเดิมอยู่ไหม การพยายามชวนคุยเรื่องต่างๆ เป็นการตรวจสอบดูว่าเพื่อนเรายังคิดเห็น ยังชอบอะไรตรงกับเราอยู่หรือไม่ จนแน่ใจระดับหนึ่งว่าเรายังมีอะไรตรงกันอยู่นะ เราถึงจะรู้สึกสนิทกันแบบเดิมได้
ลองนึกถึงเพื่อนสมัยเด็กของเรา สมมุติให้เรากับเพื่อนชอบกันดัมกันมากๆ เราสนิทกันมากเพราะคุยกันถูกคอ คุยภาษาเดียวกัน ด้วยความที่สนใจเรื่องเดียวกันจึงทำให้เราสนิทกัน แต่แล้วเมื่อเรียนจบ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป มาเจอกันอีกทีก็โตแล้ว โอเคว่าเราอาจจะระลึกความหลังด้วยการชวนเพื่อนคุยเรื่องกันดัมแบบเดิมๆ แต่เกิดเพื่อนของเราดันเปลี่ยนทัศนคติเป็นไม่ชอบกันดัมแล้ว อาจด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทีนี้เราจะคุยเรื่องอะไรกันดี คุยเรื่องกันดัมแบบเดิมคงไม่ได้ ถ้าโชคดีหน่อยมีเรื่องราวอื่นๆ ที่ยังพอเข้ากันได้ก็อาจจะชวนคุยกันจนความสนิทสนมกลับมา แต่ถ้าเกิดนิสัยหรือความชอบอื่นๆ เกิดเปลี่ยนไปอย่างมาก เชื่อได้เลยว่าความสนิทใจที่จะเป็นเพื่อนกันย่อมลดลงเป็นธรรมดา
ประโยคที่กล่าวไว้ข้างต้นอาจจะเป็นจริงเสียส่วนมาก เพราะคนส่วนหนึ่งอาจจะไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่เด็กจนโต และคนส่วนมากก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งเราพร้อมจะมองข้ามความไม่เหมือนกันบางอย่างตราบเท่าที่ยังมีส่วนที่เหมือนกันอยู่มาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนอีกส่วนที่เปลี่ยนไป โดยสิ่งที่เขาเปลี่ยนไปนั้นเราให้ความสำคัญมากด้วย เช่น รสนิยมทางเพศ ทัศนคติทางการเมือง คนที่ให้ความสำคัญในเรื่องบางเรื่องอาจจะรับไม่ได้ ถึงขั้นตัดความเป็นเพื่อนกันเลยก็มี
อาจจะต้องเริ่มอธิบายกันก่อนว่าทำไมเราถึงรู้สึกสนิทกับใครบางคน การที่เราจะสนิทกับใครสักคนเราต้องกิจกรรมทางสังคมหลายๆ อย่างด้วยกันบ่อยๆ มีกิจกรรมร่วมกัน เช่น ไปกินข้าวด้วยกันประจำ ไปเที่ยวด้วยกันประจำ คุยกันเป็นประจำ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เป็นต้น การที่เราจะทำกิจกรรมแบบนี้กับใครสักคนได้เป็นประจำ เชื่อเถอะว่าคุณกับเขา ต้องมีความคิดเห็น นิสัย ความชอบอะไรเหมือนๆ กัน เอาจริงๆ คือแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนชอบกินอะไรคนละอย่างแต่ดันไปกินข้าวด้วยกันเป็นประจำ หรือคนที่ชอบคุยกันคนละเรื่องแต่ก็ดันคุยกันด้วยกันทุกวัน คนที่ชอบเที่ยวกันคนละสไตล์แต่ก็ดันไปเที่ยวด้วยกันเป็นประจำอีก อาจจะมีข้อยกเว้นนะ แต่ผมว่าโอกาสเป็นไปได้น้อยมากๆ
ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่ต้องยอมรับกันก็คือ นิสัย ความชอบ ทัศนคติของคนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ในขณะที่เพื่อนสนิทต่างต้องแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตนเอง ต่างคนต่างต้องเผชิญกับชีวิตรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ประสบการณ์ต่างๆ ที่ต่างคนต่างพบเจอนี่แหละ ที่จะทำให้นิสัย ความชอบ และทัศนคติเปลี่ยนแปลง เราไม่มีทางรู้เลยว่าเพื่อนสนิทของเราที่ไม่ได้พบเจอกันมาแรมปีพบเจออะไรมาบ้างตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้พบเจอกัน เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่านิสัยของเพื่อนเรายังคงเหมือนเดิม เพื่อนยังชอบสิ่งเดิมๆ เหมือนเราอยู่ไหม ทัศนคติของเรากับเพื่อนยังตรงกันอยู่ไหม
ทุกครั้งที่ผมได้เจอเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอ ไม่ได้พูดคุยกันมานาน บอกเลยว่าผมไม่สนิทใจที่จะพูดคุยกับเขาเหมือนแต่ก่อน สิ่งที่ผมทำคือคุยกันแบบระมัดระวัง เพราะเราไม่รู้ว่าเพื่อนยังเหมือนเดิมอยู่ไหม การพยายามชวนคุยเรื่องต่างๆ เป็นการตรวจสอบดูว่าเพื่อนเรายังคิดเห็น ยังชอบอะไรตรงกับเราอยู่หรือไม่ จนแน่ใจระดับหนึ่งว่าเรายังมีอะไรตรงกันอยู่นะ เราถึงจะรู้สึกสนิทกันแบบเดิมได้
ลองนึกถึงเพื่อนสมัยเด็กของเรา สมมุติให้เรากับเพื่อนชอบกันดัมกันมากๆ เราสนิทกันมากเพราะคุยกันถูกคอ คุยภาษาเดียวกัน ด้วยความที่สนใจเรื่องเดียวกันจึงทำให้เราสนิทกัน แต่แล้วเมื่อเรียนจบ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป มาเจอกันอีกทีก็โตแล้ว โอเคว่าเราอาจจะระลึกความหลังด้วยการชวนเพื่อนคุยเรื่องกันดัมแบบเดิมๆ แต่เกิดเพื่อนของเราดันเปลี่ยนทัศนคติเป็นไม่ชอบกันดัมแล้ว อาจด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทีนี้เราจะคุยเรื่องอะไรกันดี คุยเรื่องกันดัมแบบเดิมคงไม่ได้ ถ้าโชคดีหน่อยมีเรื่องราวอื่นๆ ที่ยังพอเข้ากันได้ก็อาจจะชวนคุยกันจนความสนิทสนมกลับมา แต่ถ้าเกิดนิสัยหรือความชอบอื่นๆ เกิดเปลี่ยนไปอย่างมาก เชื่อได้เลยว่าความสนิทใจที่จะเป็นเพื่อนกันย่อมลดลงเป็นธรรมดา
ประโยคที่กล่าวไว้ข้างต้นอาจจะเป็นจริงเสียส่วนมาก เพราะคนส่วนหนึ่งอาจจะไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่เด็กจนโต และคนส่วนมากก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งเราพร้อมจะมองข้ามความไม่เหมือนกันบางอย่างตราบเท่าที่ยังมีส่วนที่เหมือนกันอยู่มาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนอีกส่วนที่เปลี่ยนไป โดยสิ่งที่เขาเปลี่ยนไปนั้นเราให้ความสำคัญมากด้วย เช่น รสนิยมทางเพศ ทัศนคติทางการเมือง คนที่ให้ความสำคัญในเรื่องบางเรื่องอาจจะรับไม่ได้ ถึงขั้นตัดความเป็นเพื่อนกันเลยก็มี
Comments