Skip to main content

Handwriting Recognition on Galaxy Note II

หลังจาก Galaxy S II ของผมนอนตายแอ้งแม้งก่อนวัยอันควร ด้วยวัยเพียงหนึ่งปีเศษเกือบหนึ่งปีครึ่ง คำถามคือโทรศัพท์เครื่องถัดไปที่ผมจะใช้คือรุ่นอะไร? คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมอยู่สองสามวัน เป็นห้วงเวลาที่ไม่มีโทรศัพท์ใช้ ติดต่อใครด้วยอินเทอร์เน็ตทางคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว

แน่นอนจากประสบการณ์ที่เลวร้ายย่อมทำให้ผมปันใจจาก Samsung ไปมองแบรนด์อื่นอย่างแน่นอน แต่จากหัวเรื่องนี้ คณผู้อ่านทุกย่อมรู้อยู่แล้วล่ะว่า ผมยังคงเลือก Samsung ใช้ต่อไป

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ เนื่องจาก Galaxy Note ถูกวางให้เป็นสมุดโน้ตอิเล็กทรอนิกส์ และแถมปากกาชั้นยอดมาให้ด้วย สิ่งที่ได้รับการคาดหวังจากผู้ใช้ก็คือการใช้งานปากกาในการขีดๆ เขียนๆ และจดบันทึกต่างๆ แต่เนื่องจากลายมือผมมันห่วยแตกเกินกว่าจะจดไว้อ่านเองเสียอีก จึงอยากจะได้ตัวช่วยดีๆ ที่พอเราขีดๆ เขียนๆ ลงไปแล้วมันช่วยเปลี่ยนลายเส้นกากๆ เหล่านั้นให้เป็นตัวพิมพ์ที่สวยงาม สิ่งนั้นก็คือ เทคโนโลยีการจดจำลายมือ หรือเรียกแบบภาษาอังกฤษว่า handwriting recognition นั่นเอง

ทุกคนมักจะรู้จากโฆษณาอยู่แล้วว่าใน S Note มีฟีเจอร์นี้มาให้อยู่แล้ว แต่คำถามก็คือ ถ้าเราอยากจะใช้ฟีเจอร์นี้กับโปรแกรมอื่นๆ ล่ะ?

2013-01-09 23.12.03

คำตอบอยู่ที่ keyboard ที่มาพร้อมกับเครื่องอยู่แล้ว เมื่อกดปุ่มรูปตัว T และมีรูปปากกาที่มุมซ้ายล่างของคีย์บอร์ด มันก็จะนำท่านเข้าสู้โหมดพิมพ์ด้วยการเขียน

2013-01-09 23.19.28 2013-01-09 23.19.47

จากการทดสอบพบว่าทำงานกับภาษาอังกฤษได้ดีมาก สามารถแปลงลายมือกากๆ ของผมออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างน่าประทับใจ ลองทั้งตัวพิมพ์ธรรมดา และลองหวัดๆ อย่างตัวเขียน ก็อ่านได้แทบไม่ผิดเพี้ยน แต่น่าผิดหวังเป็นอย่างมากเมื่อใช้กับภาษาไทย เพราะเมื่อลองเขียนเป็นคำ ปรากฏว่าเละเทะมาก จะอ่านออกก็ต่อเมื่อเขียนทีละตัว ซึ่งถือว่าลำบากและช้ามาก สู้การจิ้มปุ่มไม่ได้เลย ยังต้องพัฒนาอีกมาก กว่าจะได้ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการเขียนภาษาอังกฤษ

วันนี้ขอจบบล็อกนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนแล้วกันครับ เดี๋ยวจะยาวจนไม่มีคนอ่าน ไว้คราวหน้าถ้าไม่ขี้เกียจเสียก่อน จะมาแนะนำอีกโปรแกรม ที่อ่านภาษาไทยได้ดีกว่า แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นดีเทียบเท่าภาษาอังกฤษที่ตัวนี้ทำได้ครับ

Comments

Popular posts from this blog

วิธีการแก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์

ปัญหาการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศไทย เป็นปัญหาที่แก้กันไม่ตก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวของประชากรค่อนข้างต่ำ แต่รสนิยมในการบริโภคกลับไม่ต่ำตาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการผลิตของลอกเลียนแบบ หรือของละเมิดลิขสิทธิ์ในอัตราที่สูงจนติดอันดับต้นๆ ของโลก ไม่เพียงรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ ที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ติดอันดับโลก แต่รวมไปถึงสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูอย่างเสื้อผ้า กระเป๋า น้ำหอม เครื่องสำอางอีกด้วย ซอฟต์แวร์ที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ มีตั้งแต่ซอฟต์แวร์ประเภทระบบปฏิบัติการ อย่าง Windows และ Mac OS ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในในสำนักงาน อย่าง MS Office ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในงานออกแบบ อย่าง Adobe Creative Suit รวมไปถึงซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานเฉพาะด้านอย่าง CAD/CAM และอีกมากมายหลายประเภท ผู้ที่เสาะแสวงหาซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์นั้นส่วนใหญ่เป็นบุคคลธรรมดา เพราะพวกเขาเหล่านั้นคิดว่าการใช้ซอฟต์แวร์ปลอมตรวจจับได้ยาก อีกทั้งการใช้ซอฟต์แวร์ปลอมก็ไม่ได้ทำให้เขาสูญเสียผลประโยชน์แต่อย่างใด ซึ่งผิดกับนิติบุคคล อย่างองค์กรของรัฐ หรือบริษัทต่างๆ ที่ต้องการการบำรุงรักษาระบบ และบริการหลังการขาย...

เพื่อนสนิท ไม่ว่าจะไม่เจอกันนานแค่ไหน เมื่อกลับมาเจอกันใหม่ก็ยังรู้สึกสนิทกันเหมือนเดิมจริงหรือ?

เคยมีคนบอกเอาไว้ว่า " เพื่อนสนิท ไม่ว่าจะไม่เจอกันนานแค่ไหน เมื่อกลับมาเจอกันใหม่ก็ยังรู้สึกสนิทกันเหมือนเดิม " ผมว่ามันไม่จริงเสมอไป อาจจะต้องเริ่มอธิบายกันก่อนว่าทำไมเราถึงรู้สึกสนิทกับใครบางคน การที่เราจะสนิทกับใครสักคนเราต้องกิจกรรมทางสังคมหลายๆ อย่างด้วยกันบ่อยๆ มีกิจกรรมร่วมกัน เช่น ไปกินข้าวด้วยกันประจำ ไปเที่ยวด้วยกันประจำ คุยกันเป็นประจำ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เป็นต้น การที่เราจะทำกิจกรรมแบบนี้กับใครสักคนได้เป็นประจำ เชื่อเถอะว่าคุณกับเขา ต้องมีความคิดเห็น นิสัย ความชอบอะไรเหมือนๆ กัน เอาจริงๆ คือแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนชอบกินอะไรคนละอย่างแต่ดันไปกินข้าวด้วยกันเป็นประจำ หรือคนที่ชอบคุยกันคนละเรื่องแต่ก็ดันคุยกันด้วยกันทุกวัน คนที่ชอบเที่ยวกันคนละสไตล์แต่ก็ดันไปเที่ยวด้วยกันเป็นประจำอีก อาจจะมีข้อยกเว้นนะ แต่ผมว่าโอกาสเป็นไปได้น้อยมากๆ ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่ต้องยอมรับกันก็คือ นิสัย ความชอบ ทัศนคติของคนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ในขณะที่เพื่อนสนิทต่างต้องแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตนเอง ต่างคนต่างต้องเผชิญกับชีวิตรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ประสบการณ์ต่างๆ ที่ต่างคนต่างพบเจอนี่แหละ ท...

รหัสบัตรเครดิต ภัยอินเทอร์เน็ต

ยุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศ อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ข่าวสาร การติดต่อสื่อสาร หรือแม้แต่การซื้อ-ขายสินค้า และบริการ ก็สามารถดำเนินการผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ยิ่งเทคโนโลยีก้าวล้ำหน้าไปเพียงใด ผู้ที่คิดจะทำเทคโนโลยีมาใช้ในทางฉ้อฉลก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว การซื้อ-ขายสินค้า และบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต นิยมใช้บัตรเครดิตในการชำระค่าสินค้า โดยลูกค้าจะต้องให้รหัสบัตรเครดิตแก่ผู้ขายสินค้า อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถดักจับข้อมูลรหัสบัตรเครดิต และข้อมูลสำคัญอื่นนอกจากนี้ได้ อีกวิธีที่เป็นที่นิยมในการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวคือ การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงิน แล้วแจ้งไปยังเหยื่อ อาจใช้อีเมล จดหมาย หรือทางโทรศัพท์ อ้างว่ามีเหตุขัดข้องบางประการเกี่ยวกับบัญชีของเหยื่อ เช่น อ้างว่าบัญชีของเหยื่อถูกระงับชั่วคราว ถูกยกเลิก หรือถูกเพิกถอน โดยหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขประจำตัวประชาชน รหัสบัตรเครดิต รหัสผ่าน หมายเลขบัญชีธนาคาร วันเดือนปีเกิด เป็นต้น เมื่อได้ข้อมูลสำคัญเหล่านี้แล้ว ก็จะทำ...