Skip to main content

ย้ายที่ทำงาน ทรยศบริษัทจริงหรือ ?

บริษัท IT มักจะประสบกับปัญหาที่บุคลากรที่มีคุณภาพขององค์กร ที่รับเข้ามาด้วยการพิจารณาแต่การศึกษาดีๆ ประกาศนียบัตรงามๆ ย้ายไปทำงานให้กับบริษัทอื่น บ้างก็อ้างว่าเป็นเพราะทางบริษัทรับแต่คนเก่ง แต่ไม่เป็นคนดีเข้าไปทำงาน พนักงานจึงไม่ภักดีต่อองค์กร และย้ายไปทำงานให้กับบริษัทอื่น

เราไม่อาจอนุมานได้ว่าคนที่ย้ายไปทำงานให้กับบริษัทอื่นนั้นไม่เป็นคนดี บางคนอาจไม่พอใจกับสภาพแวดล้อม หรือ สังคมในที่ทำงานเก่า จึงลาออกแล้วไปทำงานให้กับบริษัทใหม่ บางคนต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในการทำงานให้กับตนเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ค่าตอบแทนที่ได้รับเสียมากกว่า

แต่ถึงแม้ว่าการที่พนักงานย้ายจากบริษัทหนึ่งย้ายไปทำงานให้กับอีกบริษัทหนึ่ง ด้วยเหตุผลเรื่องค่าตอบแทน ก็ยังไม่อาจสรุปได้อีกว่าพนักงานคนนั้นไม่เป็นคนดี เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท กับพนักงาน ควรเป็นในรูปแบบของ win-win situation กล่าวคือ บริษัทได้ประโยชน์จากผลผลิตที่พนักงานผลิตขึ้น และพนักงานก็ได้ค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลจากทางบริษัทเช่นกัน เมื่อมีบริษัทอื่นเห็นคุณค่าในตัวของบุคลากรบริษัทเรามากกว่าที่เราเห็น พนักงานคนนั้นย่อมมีสิทธิ์ในการไปทำงานให้กับบริษัทนั้น เพราะเหตุผลในเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจ บางครั้งค่าตอบแทนก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เรื่องของเกียรติยศ ชื่อเสียงของบริษัท ตำแหน่งหน้าที่การงาน เป็นเรื่องที่พนักงานที่ต้องการจะย้ายบริษัท นำมาพิจารณาประกอบด้วยเช่นกัน

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีพนักงานที่มีคุณภาพของบริษัทย้ายออกไปทำงานให้กับบริษัทอื่น ด้วยเหตุผลทางด้านค่าตอบแทน และผลประโยชน์ ทางบริษัทเองจะต้องพิจารณานโยบายของบริษัทเองก่อนว่าเป็นอย่างไร ผู้บริหารได้มอบหมายงาน และตำแหน่งหน้าที่ให้กับพนักงานสมกับศักยภาพของพนักงานหรือไม่ และค่าตอบแทนที่พนักงานได้รับมีความสมเหตุสมผลหรือไม่

เมื่อพนักงานคนหนึ่งมีศักยภาพมากกว่างานที่ได้รับมอบหมายจากทางบริษัท ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พนักงานคนนั้นจะย้ายบริษัท เพื่อให้ได้ทำงานในสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเขามากกว่า และก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีพนักงานซักคนคิดว่าค่าตอบแทนที่ตนได้รับไม่สมกับศักยภาพที่ตนมี และย้ายไปทำงานให้กับบริษัทที่ให้ค่าตอบแทนที่เขาคิดว่าสมควรจะได้รับเมื่อเทียบกับศักยภาพของเขา

เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าผลตอบแทนที่พนักงานแต่ละคนจะได้รับ ขึ้นอยู่กับความคาดหวังในผลผลิตที่พนักงานคนนั้นจะผลิตให้กับบริษัท และค่าตอบแทนของพนักงานแต่ละคนยังขึ้นอยู่กับกฎของ demand และ supply ในตลาดแรงงานอีกด้วย ดังนั้น ค่าตอบแทนที่พนักงานจะได้รับในแต่ละบริษัท จึงไม่ได้ถูกกำหนดโดยบริษัท หรือพนักงานแต่ฝ่ายเดียว เป็นสิ่งที่ตกลงกันได้ระหว่างพนักงาน และบริษัท และนอกจากนั้น ยังต้องเป็นไปตามสภาวะแวดล้อมอีกด้วย

หากผมเป็นผู้บริหารของบริษัท IT แน่นอนว่าจากคำจำกัดความของบริษัท IT คงไม่ใช่องค์กรเพื่อการกุศล แต่เป็นองค์กรที่แสวงหาผลกำไรเป็นสำคัญ ตรรกะในการมองปัญหาต่างๆ จึงอยู่ในมุมมองของทุนนิยมตามไปด้วย การเลือกพนักงานเข้ามาทำงานให้กับบริษัทจึงคำนึงถึงผลประโยชน์ที่พนักงานจะให้กับบริษัท โดยไม่ได้มองแค่ผลตอบแทนระยะสั้นที่บริษัทจะได้รับ แต่มองถึงผลที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว

ตรรกะที่ผมจะใช้เข้ามาในการคัดเลือกพนักงาน ไม่ว่าจะเป็น programmer, software engineer และตำแหน่งอื่นๆ ในบริษัท ผมจะเลือกพนักงานที่ไม่เก่งมากนัก แต่มีคุณสมบัติในด้านการเรียนรู้ และใฝ่รู้ สามารถนำมาฝึกฝนงานได้อย่างต่อเนื่อง

เมื่อแรกเริ่มเข้ามา ค่าตอบแทนที่พนักงานจะได้รับก็จะไม่สูงนัก แต่เมื่อได้รับการฝึกฝนจนมีความชำนาญ และมีประสบการณ์มากขึ้น ก็จะต้องมีการเลื่อนตำแหน่ง ให้พนักงานได้รับงานมอบหมายที่เหมาะสมกับศักยภาพที่เพิ่มขึ้น และที่สำคัญ ต้องมีการเพิ่มค่าตอบแทนให้มากขึ้นตามหน้าที่ และความรับผิดชอบตามไปด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการจูงใจให้กับพนักงานในการทำงานให้กับบริษัทต่อไป อีกด้วย

นอกจากเรื่องของค่าตอบแทนที่ทางบริษัทต้องเสนอให้กับพนักงานอย่างเหมาะสมแล้ว เรื่องของสวัสดิการต่างๆ ที่ทางบริษัทจัดให้กับพนักงาน เป็นอีกสิ่งสำคัญที่จะจูงใจให้พนักงานทำงานกับบริษัทต่อไป

โดยในที่นี้จะมองข้ามในเรื่องของความดีของพนักงานไป เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่อาจวัด และประเมินผลให้ออกมาอยู่ในรูปที่จับต้องได้ แต่จะมองในเรื่องของความประพฤติของพนักงานมากกว่า ว่าพนักงานคนใดปฏิบัติตนได้เป็นไปตามกฎระเบียบของบริษัท และไม่ทำให้บริษัทต้องเสียผลประโยชน์ ซึ่งมุมมองนี้จะสามารถวัดผลได้อย่างเห็นได้ชัดเจน

หลายครั้งที่เมื่อพนักงานลาออกไปทำงานให้กับบริษัทอื่น มักจะมีปัญหาเกิดขึ้นหลายอย่าง เนื่องจากพนักงานที่ลาออกไป ลาออกไปพร้อมกับความรู้และประสบการณ์ที่มีต่องานชิ้นนั้น ทำให้พนักงานที่เข้ามาทำงานแทน เกิดความยากลำบากในการทำงาน และทำให้บริษัทต้องเสียโอกาสในทางธุรกิจ ปัญหานี้ผมมองว่าเป็นปัญหาของทางบริษัทเอง มิใช่ความผิดของพนักงานแต่อย่างใด

การจ้างงานพนักงาน ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งหน้าที่ใด จะมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร บริษัทเอกชนส่วนใหญ่มักจะทำสัญญาในระยะเวลาหนึ่ง ไม่ได้เป็นสัญญาจ้างตลอดจนเกษียณอายุ แต่ก็อาจมีให้เห็นอยู่บ้าง ดังนั้นในสัญญาก็ควรมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าหากพนักงานจะลาออก จะต้องแจ้งให้บริษัททราบล่วงหน้าเป็นเวลาเท่าใด เพื่อที่จะให้บริษัทได้ดำเนินการหาบุคคลเข้ามาทดแทนในตำแหน่งดังกล่าว

นอกจากนี้ระบบการจัดการความรู้ (knowledge management) ยังช่วยรักษามันสมอง และประสบการณ์ของบริษัทให้อยู่กับบริษัทต่อไป ไม่หลุดลอยไปกับพนักงานที่ลาออกไป

ดังนั้นเมื่อมีพนักงานลาออกไปทำงานให้กับบริษัทอื่นจะไม่ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับปัญหามากนัก ถ้าบริษัทมีการจัดการที่เป็นระบบ ทั้งในเรื่องของสัญญาการจ้างงาน และการจัดการความรู้ และระบบการทำงานที่ดียังช่วยทำให้การดำเนินงานของบริษัทไม่ขึ้นอยู่กับบุคคลใดคนหนึ่งจนเกินไป หากบริษัทจะเกิดปัญหาขึ้นในกรณีที่มีพนักงานลากออกไป ก็สมควรที่จะต้องได้รับผลของมัน เพราะเป็นความผิดพลาดโดยตรงของทางบริษัท ที่มีผู้บริหารที่ไม่มีความรอบคอบในการทำงาน และการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ มิใช่ว่าจะไปโทษพนักงานที่ลาออกไปให้เป็นตราบาปต่อชีวิตพนักงานผู้นั้น เพราะการออกไปหาสิ่งที่ดีกว่าของพนักงานมิใช่ความผิดแต่อย่างใด

เปรียบก็เหมือนกับทีมฟุตบอลในลีกอาชีพของต่างประเทศ ซึ่งมีทีมเยาวชนเอาไว้เพื่อฝึกฝนนักฟุตบอลระดับเยาวชนให้มีความสามารถพอที่จะมาเล่นในทีมชุดใหญ่ และนอกจากนี้ยังต้องมีการซื้อผู้เล่นที่มีความสามารถเข้ามาเสริมทีมอีกด้วย หากการย้ายไปทำงานให้กับบริษัทอื่น ถือว่าเป็นสิ่งไม่ดี นักฟุตบอลในโลกนี้คงเลวกันครึ่งค่อนโลกอย่างแน่นอน และทีมที่ประสบความสำเร็จ คือทีมที่สามารถสร้างนักฟุตบอลระดับเยาวชนขึ้นมาทดแทนผู้เล่นที่ย้ายออกไปได้อย่างสมดุล

Comments

Unknown said…
กำลัง คิดๆ อยู่เหมือนกัน ว่าจะย้ายบริษัท

แต่ด้วยสภาพแบบนี้ ยากเหลือเกิน ที่จะหางานใหม่

บทความเขียนได้ดีนะครับ

แต่ ตัวหนังสือติดกันไปนิด ผมปวดตา

จ้องนานๆ ไม่ได้

และขอบคุณมากนะครับ

ที่ช่วย comment บทความ ผม ^ ^

Popular posts from this blog

วิธีการแก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์

ปัญหาการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศไทย เป็นปัญหาที่แก้กันไม่ตก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวของประชากรค่อนข้างต่ำ แต่รสนิยมในการบริโภคกลับไม่ต่ำตาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการผลิตของลอกเลียนแบบ หรือของละเมิดลิขสิทธิ์ในอัตราที่สูงจนติดอันดับต้นๆ ของโลก ไม่เพียงรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ ที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ติดอันดับโลก แต่รวมไปถึงสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูอย่างเสื้อผ้า กระเป๋า น้ำหอม เครื่องสำอางอีกด้วย ซอฟต์แวร์ที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ มีตั้งแต่ซอฟต์แวร์ประเภทระบบปฏิบัติการ อย่าง Windows และ Mac OS ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในในสำนักงาน อย่าง MS Office ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในงานออกแบบ อย่าง Adobe Creative Suit รวมไปถึงซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานเฉพาะด้านอย่าง CAD/CAM และอีกมากมายหลายประเภท ผู้ที่เสาะแสวงหาซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์นั้นส่วนใหญ่เป็นบุคคลธรรมดา เพราะพวกเขาเหล่านั้นคิดว่าการใช้ซอฟต์แวร์ปลอมตรวจจับได้ยาก อีกทั้งการใช้ซอฟต์แวร์ปลอมก็ไม่ได้ทำให้เขาสูญเสียผลประโยชน์แต่อย่างใด ซึ่งผิดกับนิติบุคคล อย่างองค์กรของรัฐ หรือบริษัทต่างๆ ที่ต้องการการบำรุงรักษาระบบ และบริการหลังการขาย...

เพื่อนสนิท ไม่ว่าจะไม่เจอกันนานแค่ไหน เมื่อกลับมาเจอกันใหม่ก็ยังรู้สึกสนิทกันเหมือนเดิมจริงหรือ?

เคยมีคนบอกเอาไว้ว่า " เพื่อนสนิท ไม่ว่าจะไม่เจอกันนานแค่ไหน เมื่อกลับมาเจอกันใหม่ก็ยังรู้สึกสนิทกันเหมือนเดิม " ผมว่ามันไม่จริงเสมอไป อาจจะต้องเริ่มอธิบายกันก่อนว่าทำไมเราถึงรู้สึกสนิทกับใครบางคน การที่เราจะสนิทกับใครสักคนเราต้องกิจกรรมทางสังคมหลายๆ อย่างด้วยกันบ่อยๆ มีกิจกรรมร่วมกัน เช่น ไปกินข้าวด้วยกันประจำ ไปเที่ยวด้วยกันประจำ คุยกันเป็นประจำ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เป็นต้น การที่เราจะทำกิจกรรมแบบนี้กับใครสักคนได้เป็นประจำ เชื่อเถอะว่าคุณกับเขา ต้องมีความคิดเห็น นิสัย ความชอบอะไรเหมือนๆ กัน เอาจริงๆ คือแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนชอบกินอะไรคนละอย่างแต่ดันไปกินข้าวด้วยกันเป็นประจำ หรือคนที่ชอบคุยกันคนละเรื่องแต่ก็ดันคุยกันด้วยกันทุกวัน คนที่ชอบเที่ยวกันคนละสไตล์แต่ก็ดันไปเที่ยวด้วยกันเป็นประจำอีก อาจจะมีข้อยกเว้นนะ แต่ผมว่าโอกาสเป็นไปได้น้อยมากๆ ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่ต้องยอมรับกันก็คือ นิสัย ความชอบ ทัศนคติของคนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ในขณะที่เพื่อนสนิทต่างต้องแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตนเอง ต่างคนต่างต้องเผชิญกับชีวิตรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ประสบการณ์ต่างๆ ที่ต่างคนต่างพบเจอนี่แหละ ท...

รหัสบัตรเครดิต ภัยอินเทอร์เน็ต

ยุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศ อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ข่าวสาร การติดต่อสื่อสาร หรือแม้แต่การซื้อ-ขายสินค้า และบริการ ก็สามารถดำเนินการผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ยิ่งเทคโนโลยีก้าวล้ำหน้าไปเพียงใด ผู้ที่คิดจะทำเทคโนโลยีมาใช้ในทางฉ้อฉลก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว การซื้อ-ขายสินค้า และบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต นิยมใช้บัตรเครดิตในการชำระค่าสินค้า โดยลูกค้าจะต้องให้รหัสบัตรเครดิตแก่ผู้ขายสินค้า อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถดักจับข้อมูลรหัสบัตรเครดิต และข้อมูลสำคัญอื่นนอกจากนี้ได้ อีกวิธีที่เป็นที่นิยมในการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวคือ การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงิน แล้วแจ้งไปยังเหยื่อ อาจใช้อีเมล จดหมาย หรือทางโทรศัพท์ อ้างว่ามีเหตุขัดข้องบางประการเกี่ยวกับบัญชีของเหยื่อ เช่น อ้างว่าบัญชีของเหยื่อถูกระงับชั่วคราว ถูกยกเลิก หรือถูกเพิกถอน โดยหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขประจำตัวประชาชน รหัสบัตรเครดิต รหัสผ่าน หมายเลขบัญชีธนาคาร วันเดือนปีเกิด เป็นต้น เมื่อได้ข้อมูลสำคัญเหล่านี้แล้ว ก็จะทำ...